1 ขาย"ข้าวไข่เจียว"เป็นเจ้าของธุรกิจร้านอาหารได้ง่ายๆ

ย้อนไปเมื่ยสมัยผมยังเด็กสิบกว่าปีกว่าเห็นจะได้นะครับ ที่จะเล่าไม่ใช่เรื่องของผมนะครับที่ขาย "ข้าวไข่เจียว" แต่เป็นเรื่องของเด็กที่อายุน้อยกว่ามาก ประมาณ ม.ต้นกว่าๆ หลังจากเลิกเรียนเค้าก็จะไปขายข้าวไข่เจียวที่หน้าร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ย่านรามคำแหง แต่ก่อนผมเองก็เป็นลูกค้าประจำร้านน้องเค้าเหมือนกัน

จากที่สอบประวัติดูน้องเค้าก็ช่วยหาเลี้ยงครอบครัวด้วยอีกทางหนึ่ง ตรงนี้ผมนับถือน้ำใจน้องเค้าจริงๆ นะครับ ที่เล่ามาซะยาวนี่ไม่ใช่อะไรนะครับ อยากจะบอกเผื่อมีน้องๆ ที่กำลังอยู่ในวัยเรียนอยู่ก็สามารถ หาเลี้ยงตัวเองหรือหารายได้เสริมเพิ่มเติมได้หลังเลิกเรียนหรือเลิกงาน แล้วเมนูที่ร้านนี้มีขายเริ่มจากง่ายๆ ข้าวไข่ดาว, ข้าวไข่เจียว หลังๆ ก็เริ่มมีไข่ทรงเครื่องพัฒนามาอีกขั้น เรียกได้ว่าต่อยอดธุรกิจนั้นเอง


มาดูอุปกรณ์ที่ต้องเตรียมสำหรับขาย "ข้าวไข่เจียว" 
- หน้าร้าน (สำคัญ)
- อุปกรณ์ : กระทะ ตะหลิว น้ำมัน
- ไข่ไก่แผง
- ซอสพริก, ซีอิ้วดำ

ด้านหน้าร้านหรือทำเลเป็นส่วนคำคัญเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่ทุกที่จะสามารถขายข้าวไข่เจียวได้เสมอไปนะครับ ต้องดูสภาพแวดล้อมอื่นๆ ประกอบกันด้วยส่วนประกอบอื่นๆ ก็แล้วแต่จะสะดวกนะครับ อ้อแล้วต้องไม่ลืมข้าวสวยหอมๆ ร้อนๆ พร้อมเสริฟ์แก่ลูกค้า เท่านี้เราก็สามารถเป็นเจ้าของธุรกิจร้านอาหารได้แล้ว เด็กๆ ก็ทำได้ผู้ใหญ่ก็ทำดีครับผม

1 รู้มัย ? เมนูอาหารเพื่อสุขภาพ กำลังได้รับความนิยมอย่างสูง

สำหรับคนไทยในปัจจุบันหันมานิยมรับประทานหรือบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพกันมากขึ้น เพราะส่วนหนึ่งถ้าเราทานอาหารที่มีปริมาณคอเลสเตอรอลเยอะๆ หรืออาหารจำพวกไขมันมากจนเกินไป ก็เป็นสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บกันได้ ลองดูร้านอาหารที่ร้านเพื่อนๆ นะครับ ว่าได้เตรียมอาหารเพื่อสุขภาพไว้สำหรับลูกค้าแล้วรึยัง

ขอยกตัวอย่างร้านอาหารตามสั่่งแล้วกันนะครับ เพราะจะว่าไปก็เป็นร้านอาหารตามสั่งก็เป็นร้านที่ใกล้ชิดกับผู้คนทุกเพศทุกวัยกันอยู่แล้ว สำหรับร้านอาหารประมาณนี้ อาหารสุขภาพที่ได้รับความนิยมกันมักจะเป็นพวก "ผัก" ไม่ว่าจะเป็นผัดผัก, ผัดน้ำมันหอย หรืออะไรก็ตามแต่ที่เกี่ยวข้องกับเมนูผัก ส่วนพวกเนื้อสัตว์ต่างๆ จะไม่นิยมสั่งกันเลยสำหรับลูกค้ากลุ่มนี้ ประเภทไขมันเยอะๆ เช่น หมูกรอบ, หมึก, กุ้ง อะไรประมาณนี้นะครับ 

คือส่วนประกอบประเภทนี้จะมีปริมาณคอเลสเตอรอลทีสูงพอควรเลยทีเดียวละครับ ลูกค้าที่สูงอายุมักจะหลีกเลี่ยงอาหารประเภทเหล่านี้ซะเป็นส่วนใหญ่ ส่วนกลุ่มวันรุ่นก็เป็นที่รู้กันว่าอาหารพวกนี้ไม่ค่อยกลัวกันอยู่แล้ว :P

ก็เป็นที่รู้กันว่ากลุ่มลูกค้าที่มีอายุมักจะหลีกเลี่ยงอาหารที่มีปริมาณคอเลสเตอรอลเยอะอยู่แล้ว แต่ถ้าพูกถึงลูกค้ากลุ่มวัยรุ่น เดี๋ยวนี้จะพบว่าลูกค้ากลุ่มนี้จะเริ่มรักสุขภาพมากกว่าแต่ก่อนอีกนะครับ ลองสังเกตุช่วงรับออเดอร์ลูกค้าก็ได้ครับไม่ยากครับ 

ลองดูจากเมนูอาหารที่ลูกค้าสั่ง แล้วจะพบว่าลูกค้าพยายามหลีกเลี่ยงอาหารประเภทคอเลสเตอรอลหรือไขมันเยอะๆรึไม่ ถ้าใช่ก็ลองแนะนำเมนูสุขภาพที่ทางร้านได้จัดเตรียมไว้ให้ เท่านี้ก็เป็นการเพิ่มตัวเลือกให้แก่ลูกค้า แต่อย่าไปยัดเยียดจดเกินไปนะครับมันไม่ดี

แต่สำหรับร้านท่านใดไม่สามารถหลีกเลี่ยงส่วนประกอบอาหารที่มีไขมันสูงก็ไม่เป็นไรครับ อาจจะลองหาน้ำดื่มสมุนไพรหรืออื่นๆ ที่ช่วยลดไขมันมาเพิ่มเติมก็ได้ครับ

2 เพิ่มเมนูอาหาร..ส่งยอดขายให้สูงปรี๊ด!!

การเพิ่มเมนูอาหารก็เป็นอีกปัยจัยหนึ่งที่ส่งผลยอดขายอาหารให้พุ่งสูงขึ้น แต่เรื่องนี้ก็ไม่สามารถฟันธงว่าจะได้ผลทุกรายนะครับ ต้องดูปัจจัยหลายๆ อย่างผสมกัน

เอาล่ะ! ที่นี้สมมุติว่าท่านสนใจจะเพิ่มเมนูสักอย่างสองอย่างก็แล้วกัน อันดับแรกเลยพยายามมาดูวัตถุดิบภายในร้านของท่านเสียก่อน ว่ามีอะไรสามารถนำมาเสริมเติมแต่งเมนูอาหารใหม่ๆ ได้อีกมัย

ที่แนะนำให้ใช้วัตถุดิบที่มีอยู่แล้ว เพราะอะไรเพื่อนๆ ทราบไหมครับ?

ถูกต้องครับ!! เพราะนอกจากเราจะได้เมนูใหม่แล้ว เรายังสามารถลดต้นทุนของอาหารเราไปอีกทางหนึ่ง โดยใช้วัตถุดิบที่มีอยู่ในห้องครัวของท่านนั้นแหละ หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนสามารถทำกันได้หลากหลายเมนู เพราะการเพิ่มวัตถุดิบ เป็นการเพิ่มต้นทุนไปอีก(ระยะสั่นไม่ค่อยห่วงครับ แต่ห่วงระยะยาว)

แต่!! ถ้าจำเป็นต้องใช้วัตถุดิบอื่นประกอบ ก็พยายามเลือกใช้อย่างเหมาะสมด้วยนะครับ ไม่งั้นต้นทุนร้านอาหารจะสูงขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าห้ามนะครับเป็นเพียงแค่การแนะนำ ถ้าท่านมั่นใจในอาหารของท่าน ยังไงก็ต้องลองครับ

อันนี้สำคัญนะครับการเปิดตัวเมนูอาหารใหม่ ต่อให้เราทดลองคัดกรองมาดีขนาดไหน สุดท้ายคนที่ตัดสินคือ "ลูกค้า" ครับ อ้อแล้วอย่าลืิม ขึ้นป้าย "เมนูแนะนำ" หรือกำชับเด็กเสริฟ์ให้แนะนำเมนูอาหารใหม่ กันด้วยหล่ะครับ

1 ทำอย่างไรเมื่อลูกจ้างหรือลูกน้องขอลาออก


อันที่จริงก็ไม่อยากให้แก้ปัญหาที่ปลายเหตุนะครับ เรื่องลูกจ้างหรือลูกน้องลาออกเนี้ย เป็นเรื่องที่ผู้ประกอบกิจการร้านอาหาร ต้องพบต้องเจอกันบ้าง ไม่มากก็น้อยนะครับ ปัญหาใหญ่อันดับหนึ่งเลย ก็เห็นจะเป็นเรื่องของ "กุ๊ก" ถ้าเราไปยึดติดกับ พ่อครัวแม่ครัว มากจนเกินไป เราจะเสียความเป็นตัวของตัวเอง ของร้านเรา และจะกลายเป็นปัญหาใหญ่เลยละครับ ปัญหานี้จะเป็นกลายเป็นเรื่องเล็ก ถ้าความรู้ด้านการครัวหรือการทำอาหาร ภายในร้านเป็นของเรา

ส่วนลูกน้องลูกจ้าง เช่น เด็กเสริฟ ก็เป็นอีกเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้นะครับ เพราะวันใดวันหนึง ต้องพบเจอกับเหตุการณ์ที่ลูกน้องไม่มาทำงาน ลาป่วย หรือเบี้ยวงานได้ ถ้าการบริหารการจัดการไม่ดี จะพบกับปัญหามากมาย ฉะนั้น ไม่ควรมอบหมายงานให้คนใดคนหนึ่งมากจนเกินไป ควรแบ่งงานให้เท่า ๆ กันตามความเหมาะสม เวลาลูกน้องแทนงานกัน ถึงจะหนักขึ้น แต่ก็ไม่หนักจนเกินไป

เป็นผู้ประกอบกิจการมักจะพบกับปัญหาเรื่อย ๆ ถ้ามีโอกาสก็อยากให้เจอปัญหากันบ่อย ๆ นะครับ :p การเจอปัญหาบ่อย ๆ สร้างเสริมประสบการณ์ให้เป็นอย่างดี ไม่เขอะ ไม่เขิน เวลาเจอปัญหาเฉพาะหน้า จะสามารถแก้ปัญหาได้ ฉับพลัน หวังว่าคงเป็นประโยชณ์ สำหรับเพื่อน ๆ นะครับ

1 หลักฮวงจุ้ยร้านอาหาร

ศาสตร์ฮวงจุ้ย ถือเป็นหนึ่งศาสตร์ที่มีความสำคัญแก่ธุรกิจมากๆ ดังที่เราจะเห็นได้จากธุรกิจต่างๆที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่นั้น ล้วนแล้วแต่มีการจัดร้าน จัดพื้นที่ให้เป็นไปตามหลักฮวงจุ้ยทั้งนั้น แม้ว่าจะมีบางธุรกิจ บางร้านที่สามารถประสบความสำเร็จได้โดยไม่คำนึงถึงหลักฮวงจุ้ยใดๆเลยก็ตาม

แต่การที่เราจะทราบไว้และทำตามเพื่อความมั่นใจ ความสบายใจในการดำเนินธุรกิจของเรา ก็หาใช่เป็นเรื่องที่ผิดแปลกอะไรครับ ในวันนี้ผมก็เลยเอาหลักฮวงจุ้ยเล็กๆน้อยสำหรับร้านอาหารมาฝากกันครับเพื่อท่านผู้อ่านที่เปิดร้านอาหาร หรือกำลังจะเปิดจะได้เอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อร้านของตนเองครับ ก็ว่ากันด้วยหลักฮวงจุ้ยร้านอาหาร อย่างแรกเลยนะครับ

ซึ่งก็คือ เรื่องของการโชว์สิ่งที่เราขายไว้หน้าร้าน คือหมายถึงว่าถ้าร้านอาหารเราขายอาหารประเภทใดก็ควรที่จะมีอาหารนั้นๆโชว์ไว้หน้าร้าน เพื่อว่ากันว่ามันจะเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้ร้านของเรานั้นขายดี มีลูกค้าเยอะครับ ยกตัวอย่างเช่น ที่เราเห็นกันบ่อยก็คือ ร้านข้าวมันไก่ และร้านข้าวหมูแดงน่ะครับ ซึ่งเขาก็จะมีการนำเอาไก่, หมูแดง ใส่ตู้กระจกใสๆตั้งวางไว้หน้าร้าน


ส่วนหลักต่อมาก็คือ เรื่องของตำแหน่งป้ายร้าน คือจะเป็นป้ายในลักษณะของป้ายชื่อร้าน หรือป้ายบ่งบอกว่าร้านเราขายอาหารอะไร ประเภทใดน่ะครับ เราจะต้องมีการจัดให้ป้ายนั้นอยู่ในตำแหน่งที่ในทางฮวงจุ้ยเขาเรียกว่า ตัดมังกรซึ่งในทางธุรกิจก็หมายถึง ต้องอยู่ในตำแหน่งที่คนทั่วไปที่ผ่านไปมาสามารถมองเห็นได้ชัดเจนหรือสะดุดสายตาน่ะครับประมาณว่าหันมามองปุ๊บรู้ได้ทันทีเลยว่าร้านนี้ชื่อร้านอะไร ขายอะไร

ส่วนอีกหนึ่งหลักที่นำมาฝากกันก็คือ เรื่องของการจัดตั้งวางโต๊ะสำหรับคิดเงิน หรือแคชเชียร์ ที่ควรจะต้องมีการตั้งวางในลักษณะทำมุมกับประตูหน้าร้าน เพราะความเชื่อในทางฮวงจุ้ยเขาบอกว่ามันจะเป็นเสมือนการดักเงิน ดักทอง ให้เข้ามาในร้านครับ